วันจันทร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2556

ความสุข

โรม 15:13
“ขอพระเจ้าแห่งความหวังโปรดให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดีและสันติสุขในความเชื่อเพื่อท่านจะได้เปี่ยมไปด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์”

จาก http://www.prasanya.org/index.php/2013-02-14-03-16-44/200-ความสุข

 ดร.เทียม โชควัฒนา อดีตประธานกรรมการเครือสหพัฒน์ ว่า "ชีวิตของคนที่เคยทำงานต่างๆ นั้น เปรียบดั่งต้นไม้นานาพันธุ์ บางพันธุ์ก็โตช้า บางพันธุ์ก็โตเร็ว เราต้องมีความอดทนในการสร้างคน แม้จะต้องใช้เวลา 10 ปีก็ยินดี ปลูกต้นไม้ใหญ่ใช้เวลานับ 100 ปี สร้างคนดีใช้เวลา 10 ปี"
จาก http://www.doctor.or.th/article/detail/5572
ความสุข จากหมอชาวบ้าน
ไปท่องเที่ยวค้นหาความสุขแบบต่างๆ
องค์กรแห่งความสุข ด้วยความสุข 8 ประการ
Instant Happiness ความสุขฉับพลัน 

ความสุขแบบคริสเตียน

 ว่าด้วยความสุข ดร.อะมีน บิน อับดุลลอฮฺ อัช-ชะกอวีย์

โลกมีความสุขแบบต่างๆ มากมาย สุขจึงเป็นสิ่งที่เกิดตามความเชื่อเช่นนั้นหรือ ยังมีหลักความเชื่อตามศาสนาอื่นๆ อีกมากมาย รวมทั้งหลักตามจารึตประเพณีที่ต่างกันในแต่ละที่

 
ไปชมและอ่าน ประวัติของความสุข

ศึกษาดูแล้วเลือกเชื่อเอาเองนะครบ

วันอังคารที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนรู้จากชีวิตผู้กล้า ประมวล เพ็งจันทร์

จาริกเพื่อชีวิต ประมวล เพ็งจันทร์ กล่้าวไว้ว่า อุปสรรคคืออุปกรณ์ที่ทำให้เข้าถึงชีวิต
รู้ความหมายของชีวิต สัมผัสผ่านความเพียรพยายามที่ทำเอง


ความสะเทือนใจ สั่นสะเทือนโลกธาตุได้ รู้สึกได้ อธิบายไม่ได้ ยกตัวอย่างที่ดีทำให้สัมผัสผ่านได้ แต่ต้องไปเพียนพยายามเองจได้พบเอง

วันจันทร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2556

ชีวิตนี้งามงดและสดชื่น

ขอบคุณรูปภาพจาก
http://www.phanpha.com/sites/default/files/imagecache/product_full/book06/8858720701569.JPG

ชีวิตแท้ งามงดและสดชื่น
PURE LIFE IS SPLENDID AND REFRESHING
ชีวิตเหลือ แต่ความเย็น เป็นนิพพาน

ชีวิตแท้   งามงด   และสดชื่น
ไม่มีฝืน   ไม่มีหวั่น   ไม่สั่นเสียว
ไม่มีสิ่ง   หลงรัก   สักสิ่งเดียว
ไม่มีจิต   เกาะเกี่ยว   ทั้งบาปบุญ

ทรัพย์ในเรือน   เป็นเหมือน   ของเกลื่อนกลาด
ที่เป็นบาป   เก็บกวาด   ทิ้งใต้ถุน
ที่เป็นบุญ   มีไว้   เพียงเจือจุน
ให้เป็นคุณ   สะดวกดาย   คล้ายรถเรือ...

ไม่ยึดมั่น   สิ่งใด   เอาใจแบก
กลัวแตกตาย   ใจประหวั่น   จนฟั่นเฝือ
เบาทั้งกาย   เบาทั้งใจ   ไม่มีเบือ
ชีวิตเหลือ   แต่ความเย็น   เป็นนิพพาน

                             พุทธทาสภิกขุ
จากปฏิทินธรรม ปี ๒๕๕๖ (สำนักพิมพ์สุขภาพใจ) - See more at: http://www.sunyatadham.org/forum/index.php?topic=278.0#sthash.J0uFSjwr.dpuf

ชีวิตที่แท้ สะอาด สว่าง สงบ งามงดและสดชื่น
อ.ประมวลกล่าวว่าหากชีวิตนี้ยังไม่งามงดและสดชื่น ชีวิตนี้ยังไม่ใช่ชีวิตที่แท้
ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่าชีวิตผมที่ผมนิยามมานั้นว่ามันไม่งดงามเลย มันลำบากมันมีวิบากมันมีสิ่งขัดข้องอยู่เสมอ มันไม่สมดุลในสัมผัสที่ผมได้รับ ดังนี้ผมได้รับรู้ชีวิตที่แท้หรือยัง ทิษฐิมานะพาไปให้เห็นว่าอย่างไรเสียมันก็ยังเป็นชีวิตของผม หากผมยังไม่งามงดเป็นเพราะผมนิยามมันหรือสังคมให้ค่า หากมันไม่สดชื่นก็เป็นเพราะผมรู้สึกเช่นนั้น ทุกขณะที่ผมรู้ตัวผมจะยอมรับ"ชะตากรรม" ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นว่าผมต้องชดใช้ชดใช้สิ่งที่ผมทำโดยไม่ระวัง โดยคิดไม่รอบคอบในอดีต
ถ้าผมนิยามมันใหม่ว่ามันงดงามแล้วและชื่นชมมัน ทั้งทั้งที่สังคมประณามว่ามันเลวทราม เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ความคิดนี้มันขัดแย้งกัน มันเป็นทวิลักษณ์ ผมตั้งคำถามว่าหากเป็นดั่งนี้แล้วจะมีหลักใดให้ยึดในการนิยามความงามงดสดชื่นได้บ้าง รวมทั้งการให้นิยามต่อ ความสุข ความทุกข์ ความงาม ความดี และความจริง มันมีหลักใด
ในสิ่งที่ผ่านมากับความทรงจำ ท่าน อ.ประยุต ประยุตโต บอกว่าถ้านิยามโดยตัวเองเป็นอัตตาธิปไตย ถ้าฟังสังคนส่วนใหญ่มันเป็นประชาธิปไตย และถ้ามันถูกต้องตามธรรมมันเป็นธรรมาธิปไตย ปัญหาของผมคือธรรมคือคืออะไร มันก็มีนิยามอีกเยอะแยะ และเป็นนิยามที่สร้างขึ้้นมาเพื่อใช้ ใช้บังคับ ควบคุมมันมีพลังในการควบคุมความคิดของผมด้วย นิยามจากตนเอง สังคม และธรรมที่ยังสงสัย
ผมถูกใจความคิดคติของอินเดียที่อ.ประมวล เพ็งจันทร์ บอกว่าชีวิตเผชิญกับความจริงที่มันบีบคั้นด้วยจิตนาการ และหากเราสมดุลได้ไม่อยู่กับความบีบคั้นมากเกินไป ไม่หลงกับจินตนาการมากเกินไป เราก็คงอยู่ได้อย่างงามงดและสดชื่น
ผมคงต้องแสวงหาต่อไป แสวงหาชีวิตที่แท้ อันงามงดและสดชื่นต่อไป


วันอาทิตย์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2556

เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

เราผ่านยุคต่างๆ มาโดยลำดับ จากการพยายามเรียนรู้และดำรงชีพในยุคอยู่รอด ที่ต้องแก่งแย่งแข่งขัน จนวันหนึ่งการแก่งแย่งแข่งขันนั้นไม่ทำให้เรารอดอย่างแท้จริง เราแสวงหาต่อไปและพบว่าเราต้องอยู่ร่วม จึงจะรอดได้การแสวงหาจุดร่วม ความร่วมมือกัน การรก้าวไปด้วยกัน การทำงานที่ต้องอาศัยเครือข่าย เราจึงเน้นความร่วมมือเพื่อดำรงอยู่ด้วยกัน แต่ปัจจุบันเรากำลังก้าวไปสู่ยุคอยู่อย่างมีความหมาย ความหมายในการเป็นมนุษย์ที่มีความสุข มั่นใจในตัวเองและเคารพผู้อื่น

ในชีวิตผมการดำรงอยู่มายาวนานถึง 61 ปีแล้วนั้น ผ่านระบบการศึกษามาตามแบบไทยไทย ได้รับการสอนแเละเรียนรู้จากครูหลายคนทั้งในระบบโรงเรียนและนอกระบบ ได้เรียนรู้จากการทำงาน ทั้งจากนาย เพื่อน และลูกน้อง ชีวิตที่เริ่มในกลางศตวรรษที่ 20 และดำรงอยู่จนเข้าศตวรรษที่ 21 การเปลี่ยนแปลงเป็นไปอย่างรวดเร็วมาก เร็วตามความเร็วของเทคโนโลยี

ชีวิตคือศิลปะอย่างหนึ่ง สมัยก่อนเราไม่รู้ว่าจะต้องมีทักษะอย่างไร เราเป็นมาเป็นไปตามยถากรรม เค้าบอกเราทำอย่างไรเราก็ทำไป ไม่เคยดิ้นรนมากมาย แต่ในปัจจุบันการดำรงชีวิตดูเหมือนยากขึ้น หรือมนุษย์เราอ่อนแอลง การดำรงอยู่จึงต้องใช้เวลาเรียนรู้นานมากกว่าที่จะดำรงอยู่อย่างลำพังได้ เราต้องให้คนรุ่นใหม่เรียนรู้ทักษะชีวิต และทักษะวิชาชีพ หรือการเรียนการสอนแต่เดิมของเราทำให้เราอ่อนแอลง

ในยุคที่จะอยู่อย่างมีความหมายนี้ เราจึงต้องการทักษะที่เรียกว่า 4Cs ประกอบด้วย คิดอย่างเป็นระบบ(Critical Thinking) ทำงานร่วมกัน(Collaboration) การสื่อสาร(Communication) สร้างสรรค์และนวัตกรรม(Creativity and innovation) แล้วเราต้องหาครูสอนดี ซึ่งอาจหมายถึง ดุ ใจดี น่าเกรงขาม น่าเกรงใจ ทำสิ่งที่รัก ถ่ายทอดสิ่งที่รัก ปลูกสร้างศิษย์ที่รักให้รักสิ่งที่รัก สอนวิชาชีวิตสอนให้วิเคราะห์ชีวิต จนเราสามารถดำรงชีวิตได้ในทุกสถานการณ์ เราต้องการครูที่ให้ความรักกับลูกศิษย์อย่างไม่มีเงื่อนไข เพราะความรักเป็นหัวใจและฐานของการเรียนรู้ ความรักสร้างความรู้สึกปลอดภัย ความรักทำให้ไม่รังแกกัน ไม่เยาะเย้ยถากถางดูถูกดูแคลนกัน สร้างความเคารพต่อผู้อื่น นำไปสู่การเรียนรู้สิ่งต่างๆ เพื่อความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่ถูกปูพื้นฐานด้วยความรัก

แม้ผมจะอยู่ในช่วงสุดท้ายของชีวิต เป็นทั้งศิษย์และครูแต่หัวใจของผมยังคงปรารถนาที่จะสร้างความสัมพันธ์ต่อผู้อื่น(ไม่ว่าครูหรือศิษย์)ในมิติของความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีความสุข มั่นใจในตัวเองและเคารพผู้อื่น




วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2556

ลูกสอนพ่อ

ที่โรงเรียนลูกวชาย อายุ 15 วันนี้มีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น
กระเป๋าของครูสอนภาษาจีน เป็นชาวตางชาติ หายไป หายจากห้องพักครู ทางโรงเรียนได้นำ ตำรวจมาค้นทั้งโรงเรียน
ผมบอกกับลูกว่าอย่างนี้ต้องจัดการส่งดำเนินคดี
ลูกชายบอกว่า คิดอย่างพ่อนี่แหละทำให้เกิดปัญหามากมาย ไม่ให้อภัย ไม่ให้โอกาส คิดผิดชั่ววูปสังคมไม่ให้ที่หยัดยืน ลูกบอกต่อว่าป่านนี้เค้าคงรู้ตัวแล้วแต่คงไม่ได้มีการให้ออกหรือตัดอนาคตใคร
ลูกบอกต่อว่าเราต้องให้โอกาสเขา ให้เขามีที่หยัดยืนในสังคม ให้เขาแก้ตัว สังคมสมัยนี้จำกัดทิศทางคน ตัดสินคน และผลักให้คนไปเป็นคนไม่ดี
ผมอึ้งไปนาน ฟังเขาสาธยายถึงความรู้สึกและพยายามเรียนรู้
ไม่ตัดสินคน ให้โอกาส ให้อภัย คำเหล่านี้ผมเคยพูด และวันนี้มันย้อนกลับมาหาผม จากปากลูกชาย
วันนี้้ผมได้บทเรียนอันมีค่ามาก บทเรียนแห่งการกระทำไม่ใช่เพียงแค่คิด
วันนี้ผมมั่นใจ ผมได้สัมผัสคนที่มีใจเอื้อเฟื้อแก่สังคม คนที่พร้อมจะให้โอกาสตน
ผมขอบคุณคำสอนจากลูกมากครับ