วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

พ่อและลูก

ผมเกิดมาจำความได้อยู่กับแม่มาตลอด เมื่อเด็กๆ แม่จะพาไปหาพ่อเดือนละครั้งเพื่อไปรับค่าเลี้ยงดูเดือนละ 200 บาท พ่อทำงานที่โรงงานยาสูปที่คลองเตย พอโตขึ้นผมไปเองได้แม่ให้ผมเดินทางไปรับเงินค่าเลี้ยงดูจากพ่อเอง ตัวผมเองไม่ได้คิดอะไรมากนักในวัยเด็กไปตามแม่บอก พบพ่อแต่ไม่ได้คุยกันนานนักไม่เคยกินข้าวกับพ่อ ไม่เคยได้รับสัมผัสหรืออ้อมกอดจากพ่อ หรือมีแต่ผมจำไม่ได้ ทั้งผมยังไม่เคยเห็นรอยยิ้มของพ่อ
เมื่อผมอยู่ มศ. 4 ผมชอบอ่านหนังสือ ช่างอากาศ และนิตยสารการบิน และเป็นครั้งแรกที่ผมได้เขียนบทความนำมาเรียบเรียงเกี่ยวกับการเหยียบดวงจันทร์ และได้ลงในหนังสือนิตยสารการบิน จนนายทหารอากาศที่ทำหนังสือนั้นมาถึงบ้านเพื่อดูว่าเด็กที่เขียนเป็นใคร เป็นเด็กจริงหรือ ทำให้เกิดความภูมิใจแบบเด็กๆ หัวใจพองโต ในสิ้นเดือนนั้นผมพาหนังสือนั้นไปในวันที่ไปรับเงินค่าเลี้ยงดู เล่าให้พ่อฟังแต่ไม่ทันจบ พ่อไม่เคยเหลือบตาดู พ่อไม่ได้กล่าวอะไรสักคำ พ่อยื่นเงินให้แล้วเดินจากไป
หัวใจที่ฟูเต็มที่กับความภูมิใจในความสำเร็จครั้งแรกของเด็กอายุ 14 ปี กลับชาด้านมืดลงทันที โลกที่สว่างกลับมืดลง ผมเดินถือหนังสือนั้นกลับออกมาเคว้งคว้าง ว่างเปล่า ไม่กลับบ้านในทันทีเหมือนทุกคราว ผมปล่อยตัวเองให้นั่งรถเมล์สายห้วยขวาง คลองเตยไปจนสุดสาย แล้วนั่งกลับมาสุดสายอีกรอบก่อนกลับบ้าน
ตั้งแต่นั้นมาผมไม่เคยไปหาพ่อเพื่อเอาเงินค่าเลี้ยงดูอีกเลย ผมเคยถามแม่ว่า ในบ้านหลังนี้มีผมคนเดียวที่ใช้นามสกุลนี้ ผมเปลี่ยนนามสกุลได้ไหม แม่ไม่ตอบ แม่ยิ้ม แล้วก็บอกว่าช่างมันเถอะลูก เราอย่างไรก็เป็นลูกเขาอย่าคิดอกตัญญูอย่างนั้น ผมจึงหยุดคิดเรื่องนั้น แต่ผมไม่เคยบอกแม่ว่าผมไม่ได้ไปเอาเงินจากพ่อ จนผมสอบเข้าวิทยาลัยวิชาการก่อสร้างได้แม่บอกให้ผมไปบอกพ่อ ผมจึงบอกแม่ว่าผมไม่ได้พบพ่อมานานมากแล้ว ผมไม่ไปบอกคงจะได้ ความคิดวัยรุ่นแรง แข็งและไม่เข้าใจชีวิต ไม่มีอภัย มีแต่อาฆาต ไม่พยาบาท ไม่คิดร้าย แต่ไม่เคยลืม
บวชเมื่ออายุ 20 ครบบวชพอดี ปี 2515

ผมพบพ่ออีกครั้งเมื่อตอนผมบวชในปี 2515 อายุครบ 20 ปีพอดี ผมขอขมาต่อพ่อตามพิธี ผมจำความรู้สึกตอนนั้นไม่ได้มากนัก มันผ่านไปเร็วและผมก็มัวแต่ยุ่งกับเรื่องของตัวเอง พ่อผมได้อยู่ร่วมพิธีบวชจนจบ และจากไปอย่างที่ผมก็ไม่ได้จดจำ ผมบวชหนึ่งพรรษาเต็มรับกฐินสอบนักธรรมตรีสนามหลวง บวชเป็นเวลาหกเดือนแล้วจึงสึก เมื่อกลับไปกราบแม่ที่บ้านแม่บอกให้ไปหาพ่อด้วย ผมตอบไปด้วยกิเลศเต็มความคิดว่า ผมตายไปจากฆารวาสและเป็นเพศบรรพชิตผมได้ตอบแทนครบแล้ว บัดนี้ผมเกิดใหม่จากเพศบรรพชิตมาเป้นฆารวาสอีกครั้งคราวนี้ขอเป็นลูกแม่เพียงคนเดียวก็แล้วกัน กิเลศพาให้ผมออกห่างพ่ออย่างไม่มีวันจะกลับมาพบกันได้อีก
ชีวิตของผมก็ผ่านไปจนมีลูก ผมกับลูก
ผมแต่งงานสองครั้ง ครั้งแรกมีบุตรีหนึ่งคน ผมตั้งใจจะเลี้ยงเอง แต่ด้วยเวรกรรมที่ไม่อธิบายได้และความไม่เข้มแข็งตั้งใจของผม ผมเลี้ยงได้จนถึง 4 ขวบ เลี้ยงไม่ได้ทะนุถนอมและทำร้ายเขาทั้งกายและใจ เมื่อบุตรีอายุ 4 ขวบผมได้นำเขามาให้แม่ผมเป็นคนเลี้ยงดู ชีวิตผ่านไปผมทำงานต่างจังหวัดกลับมาดูเขาบ้างไม่ได้ดูแลทั้งกายและใจเพียงแต่ส่งเงินให้เท่านั้น ตอนอายุเธอได้ 10 ปี ครูใหญ่เรียกพบและบอกให้เอาลูกไปเลี้ยงเอง เพราะเธอขาดความอบอุ่นมากๆ ผมนำเธอกลับมาเลี้ยงได้อีกระยะหนึ่ง แต่ด้วยกรรมหรือเวรไม่ทราบได้ เธออยู่ได้ประมาณ 3 ปี อายุ 13 ปี เราเอาเธอไปเรียนต่างจังหวัดอีกครั้ง ให้เธอไปโดดเดี่ยวอีกครั้ง ไม่ทันครบปีผมต้องรับเธอกลับมาอยู่ด้วยที่ที่เราพาเธอไปไม่ใช่ที่ทางของเธอ ครูที่เธอไปพักด้วยบอกเธอเป็นคนมีความสามารถให้เลี้ยงเองเลี้ยงให้ดี เธอเสียเวลาไปหนึ่งปีและกลับมาเรียนอยู่กับผม จากอยู่ต่างอำเภอเราย้ายมาอยู่ในเมือง ผมไปเรียนต่อต่างจังหวัด เธออยู่เพียงลำพังกับผมในวันธรรมดา และวันหยุดเธออยู่กับแม่เธอที่ไปทำงานต่างจังหวัดแล้วจะกลับมาในวันเสาร์อาทิตย์ ต่อมาเมื่อธออายุได้ 17 ปี ผมแยกทางกับภรรยา เธออายุ 18 ปี ผมแต่งงานใหม่ เธอย้ายไปเรียนที่ กรุงเทพและอยู่คนเดียวที่หอพัก เรื่องราวซับซ้อน(หมายถึงไม่อยากเอ่ยถึง) และสุดท้ายเธอก็กลับมาอยู่กับแม่ผมอีกครั้งก่อนที่จะออกไปสร้างอาชีพเองและทำธุรกิจเอง มีบ้านพักอาศัยราคาแพงก่วาบ้านผม แม่ของเธอกลับมาดูแลเธอตอนเธออายุ 30 ปี ขณะบันทึกนี้เธออายุ 36 ปีแล้วผมไม่ค่อยได้ติดต่อกับเธอเราต่างคนต่างอยู่
ในปัจจุบันนี้ผมมีบุตรอีกคน อายุ 15 ปีในปีนี้ ผมไม่ได้เลี้ยงดูแบบใกล้ชิดนัก ผมต้องเดินทางไปทำงานต่างจังหวัดบ่อยมาก ไปแทบทุกอาทิตย์ ตลอดเวลาที่ทำงาน ผมพึ่งได้มาอยู่ด้วยโดยไม่ค่อยได้เดินทางเมื่อเขาอายุ 14 ปี ในเวลาที่ผมเกษียณอายุมาเป็นราษฎรธรรมดา ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ใกล้แต่ก็ไม่ห่าง ผมยังให้คำปรึกษาเขาได้ในบางเรื่องที่เขาต้องการ และขอคำแนะนำจากเขาในเรื่องที่ไม่รู้ เขามึความเป็นตัวของตัวเองสูง โดดเดี่ยวเหมือนลูกคนเดียวทั่วไป เขามีชีวิตของเขา
ผมนึกถึงพ่อของผมตามหาเขาเมื่อผมอายุได้ประมาณ 50 ปี ตอนนั้นเขาน่าจะเกษียณแล้ว พ่อ คนที่ผมยังไม่รู้รากเง่าของตนเอง ผมตามหาเขาเพื่อจะรู้จักรากของตัวเอง ตามหาเพราะลูกเคยถามว่าพ่อของพ่อเป็นคนที่ไหน ถามคำถามที่ผมไม่เคยอยากรู้เลย ผมอยู่ในสังคมที่เชิดชูความกตัญญู เชิดชูสิ่งที่เป็นบุพการี ผมก็ถูกสั่งสอนมาเช่นนั้น ผลของการตามหานั้นไม่เจอพ่อหรือข่าวคราวของเขาเลย ผมเคยพิ่มพ์ นามสกุล เพื่อหาใน Internet ผมพบเพียงคนเดียวที่นามสกุลเดียวกับผม เป็นผู้หญิง และเป็นเรื่องบังเอิญอีกวันหนึงเพื่อนที่ทำงานด้วยกันวางการ์ดเชิญแต่งงานไว้บนโต๊ะชื่อของฝ่ายหญิงคือเธอคนนั้น ผมขอให้เขาช่วยสอบถามว่าบิดาของเธอชื่ออะไร คำตอบที่ได้คือ เธอไม่ชอบที่จะสนทนาเกี่ยวกับ บิดา ของเธอ
ช่วงชีวิตหนึ่งที่ผมต้องจากบ้านไปอยู่คนเดียวในเวลาที่เศรษฐกิจส่วนตัวไม่ดี หนี้สินรุงรัง ผมเอาตัวรอดมาได้ด้วยโชคช่วย ตลอดสามปีที่ผจญทุกสูญเสียทุกอย่างแต่ผมยังมี คนรอบข้างที่ไม่ทอดทิ้งผม แม้เพื่อนจะช่วยอะไรไม่ได้มากนัก ผมยังมีเมีย ลูก และน้อง คอยให้ความช่วยเหลืออยู่ ผมอดทนไม่ได้รบกวนใครมากนัก ยกเว้นเมีย ในช่วงนั้นที่ผมทำแทบทุกคืน คือ สวดมนต์ให้จิตสงบ และหลังจากนั้นผมจะอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พ่อ แม่ พ่อเลี้ยง คุณลุง คุณป้า ทั่งห้าคนคือผู้เป็นบุพการีของผม
วันนี้ผมไม่ได้ค้นหา พ่อ อีกแล้ว ผมพบว่าในใจผมยังติดค้าง พ่อ อยู่ ผมยังไม่เคยให้อภัยพ่อผมอย่างแท้จริง ผมเขียนบันทึกนี้เพื่อปลดปล่อยตัวเอง ปลดปล่อยจากความมืดบอดของความอาฆาต ความทรงจำร้ายๆ ที่ไม่เคยลืมมาก่อน มันฝัง มันเป็นตะกอนในใจ มันอยู่ลึกและขึ้นมาทำร้ายเป็นระยะ ผมต้องการปลดปล่อยภาวะที่ไม่พึงประสงค์นี้ออกไป ผมเข้าใจพ่อ เข้าใจโดยไม่ต้องอธิบาย ภาระต่างๆ ของความเป็นพ่อ มีมาก น่าเห็นใจ ผมต้องการตั้งจิตขออภัยอย่างแท้จริง หากมีทางใดที่ท่านรู้ได้โปรดได้อภัยในความไม่รู้ อภัยให้ด้านดำมืดของเด็กคนนี้

อภัยให้ผมนะครับพ่อ

ด้วยจิตนอบน้อม

วันพุธที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรียนรู้อยู่กับลมหายใจ

วันทุกวันของเราเริ่มต้นจากเช้าเมื่อตื่นจากหลับไหล นั่งทบทวนตนก่อนลุกจากที่นอน พับผ้าห่มไปด้วย
เมื่อตื่นขึ้นความคิดเริ่มทำงาน การทบทวนตนเองก็เป็นการคิดอย่างหนึ่ง ลองละทิ้งการคิดไว้ในที่ทางของเขาไม่ใส่ใจ จัดผ้าห่มไว้ที่ที่ กลับมาตรวจตราร่างกาย ทำความรู้สึกกับร่างกาย ลมหายใจผ่านเข้าออกอย่างสม่ำเสมอ ปิดตาสำรวจความรู้สึกตามร่างกายเริ่มจากปลายเท้าขึ้นมา
สำรวจพร้อมทั้งขอบคุณร่างกายนี้ที่ได้อาศัยมาด้วยดีเป็นเวลาหลายปีแล้ว
สำรวจพร้อมทั้งขอโทษที่ไม่ได้ดูแลให้ดี
สำรวจพร้อมทั้งยินดีที่ยังได้อาศัยกายนี้ต่อไป กายนี้ช่างอัศจรรย์ยิ่งและมีค่าเหลือเกิน
ไล่ความรู้สึกจากข้างนอกอย่างช้าๆ แข้ง หัวเข่า ขา ท้อง หน้าอก แขน มือ ลำคอ ศรีษะ หู จมูก ปาก จบภายนอกแล้ว สำรวจภายใน ลิ้นลำคอ หัวใจ ปอด กระเพาะ สำใส้ ตับ ใต ม้าม และของแข็ง ของเหลวในกาย
ตั้งกายตรงทรงกายมั่น ลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน ทำสติรู้อยุ่ ทำความสะอาดร่างกายตอนเช้าพร้อมทั้งขับถ่ายปัสสาวะ เปลี่ยนเครื่องแต่งกาย
ระหว่างอาการทางกายเหล่านั้น อาการทางใจยังวิ่งวุ่น คิดไปต่างๆ นานา ระลึกไปในอดีตที่ผ่านมาแล้ว นานมากบ้าง เร็วๆ นี้บ้าง เมื่อระลึกนึกถึงแล้วกรอบของเรื่องต่างๆ ก็มาจับทำให้คิดต่อ พยายามสะบั้นความคิดได้เป็นช่วงๆ ความคิดบางอย่างเร็วมากมาโดยอัตโนมัติสะสม เวลาดึงออกมาไม่รู้ว่ามาได้อย่างไร แต่พอรู้ตัวจะจัดการกับมัน กลับเป็นว่าหามันไม่เจอ มันซ่อนอยู่ลึกเร้นและทำงานอัตโนมัตอย่างน่ากลัว จึงรู้ตัวบ้างไม่รู้ตัวเพลินไปถึงไหนต่อไหนกว่าจะกลับมาได้ พยายามให้ความคิดอัตโนมัติเช่นนี้ไม่ทำงาน โดยทความรู้สึกตัว รู้ถึงจุดประสงค์ที่จะทำ จับสติกับกายให้รู้ว่าการเคลื่อนไปเป็นอย่างไร ทิ้งความคิดไป แต่ความต่อเนื่องของอาการนี้ยังไม่นิ่งพอ ยังกวัดแกว่งไปมา อารมรณ์ที่มาถึงจึงก่อเวทนาขึ้น สังเกต ดู รู้อยู่ไม่คิดต่อ พลัดตกไปบ้าง
เสร็จจากธุระส่วนตนแล้ว เข้าไปในครัว เก็บภาชนะที่ล้างไว้แต่เมื่อวานตอนค่ำเข้าที่ ภาชนะมีทึ่อยู่ของมันเมื่อเข้าที่แล้วก็ดูเรียบร้อย เก็บเสร็จเดินออกกำลังโดยเดินรอบโต๊ะรับประทานอาหาร การเดินอย่างเงียบๆ ไม่เร็วไม่ช้า ออกกำลังและระวังความคิดไปพร้อมกัน เดินนับก้าว เดินขยับแขนขึ้นลงกางและหุบสลับไปมา นับก้าวละหนึ่งพยางค์ ถึงประมาณ ห้าร้อย เป็นอันออกกำลังกายและจิตเสร็จ
ส่งลูกไปโรงเรียน โบกมือส่งท้ายให้กันและบอกว่าแล้วพบกันตอนเย็น ส่งลูกไปนี้ความคิดทำงานอีกแล้ว เหมือนการจากแบบชั่วคราวเวลาไม่นาน ไม่ได้ปรารถนาอะไร เดี๋ยวก็พบกันตอนเย็น ตามดูความคิด ไม่ปรุงต่อไปจากนั้น ให้เรียนรู้การพลัดพรากแม้เพียงชั่วคราว เกิดขึ้นตั้งอยู่แล้วดับไป ความคิดจรมาบรรจบ อันนี้เป็นสัญญา ไม่ใช่ปัญญา ดูแล้วก็วางเสีย
ต่อด้วยรดน้ำต้นไม้
กิจกรรมยาวเช้าดูหมดไปอย่างไร้ประโยชน์ต่อครอบครัวและคนรอบข้าง ค่อยมาสังเกต เรียนรู้อยู่กับลมหายใจต่อครั้งหน้าครับ