วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2555

อาจารย์ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ ฉลาด สุข อิสระและ...ได้อีก

ผมชอบฟัง  อาจารย์ ดร.วรภัทร์ ภู่เจริญ บรรยาย ค้นมาได้ล่าสุดเป็นการบรรยายในหัวข้อ "...ฉลาด สุข อิสระและ...ได้อีก" ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย วันที่ 9 กรกฎาคม 2555
ครั้งนี้ อาจารย์สอนนักศึกษา มีเขียนภาพให้ดูด้วยลองดูนะครับ มีสองตอน

ฉลาด สุข อิสระและ...ได้อีก Part 1 

 



 ฉลาด สุข อิสระและ...ได้อีก Part 2

 
ลองดูนะครับเผื่อจะได้แลกเปลี่ยนกันบ้าง

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2555

ความกลัว ความจริง ความเป็นไป

3 กันยายน 2555 ผม อยู่ที่โรงพยาบาลสุรศักดิ์มนตรี อ.เมืองลำปาง จ.ลำปาง ผมมาผ่าตัดใส้เลื่อนเป็นคนไข้ใน ผมผ่าแล้วสองครั้งในเวลาติดต่อกัน เพราะเมื่อผ่าครั้งแรกแล้วกลับไปบ้านใส้ยังคงเลื่อนลงมาอีก ผมไม่ได้วิตกกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหมือนกับการเผชิญกับเหตุการณ์ทั้งหลาย ผมมีความเป็นปกติ สิ่งใตจะเกิดมันก็ต้องเกิดขึ้น
เมื่อเช้าวันนนี้ ผมอยู่คนเดียวหลังจากรับประทานอาหารกับภรรยาแล้วเสร็จ เธอกลับบ้าน ก่อนไปเธอโกรธที่ผมไม่ได้ปิดแอร์ ก่อนหน้านี้เธอไม่โกรธแต่พอนางพยาบาลได้ถามว่าเช้านี้พักแอร์แล้วหรือยัง เธอมีอาการไม่ชอบและนำไปสู่ความโกรธ ผมนิ่งเป็นปกติที่จะนิ่งเมื่อเธอโกรธ เหตุการณ์ผ่านไป
ผมไม่ได้คิดอะไรมาก หลังจากนั้นผมได้สนทนากับน้องอีกสองสามคน ในสองสามเรื่อง
คนแรกโทรมาทักทายเพราะรู้ว่าผมมานอนโรงพยาบาล
คนที่สองโทรมาต่อว่าว่าทำไมไม่บอก เพราะได้สั่งไว้แล้วว่าให้บอก นอกจากนั้นยังเชิญผมไปร่วมงานเลี้ยงส่งในวาระเกษียณ
คนที่สามโทรมาบอกว่าน้องต่างมารดากินยาฆ่าตัวตายและขณะนี้พาไปล้างท้อง ปรึกษาว่าจะทำอย่างไรดีกับความไม่ดีในตัวเธอ เขาไม่รู้ว่าผมอยู่โรงพยาบาล
อ้อในช่วงก่อนหน้าน้องๆ โทรมานั้น มีธนาคารเจ้าหนี้โทรมาทวงหนี้
ผมมาพิจารณาตัวเองแล้วว่าทุกวันนี้ผมดำเนินชีวิตอยู่ท่ามกลางความกลัว ความกลัวที่ความจริงบางประการจะทำร้ายผู้คนที่เกี่ยวข้อง ผมจึงห่างจากความจริงที่จะบอกพวกเขาเหล่านั้น วามจริงของสรรพสิ่งเพราะผมคิดเอาเองว่าเขารับไม่ได้ บางครั้งในเวลาที่ผ่านมาผมปล่อยให้เวลาล่วงเลยไปเหตุการณ์เข้าสู่สถานะการณ์คับขันจึงต้องใช้แรง่มหาศาลในการจะผ่านพ้นแต่ละสถานการณ์ออกไปได้
ความกล้วเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก ทำให้ให้คนเราแม้ไม่โกหก ก็เลี่ยงที่จะพูดถึงความเป็นจริง เพราะเรากลัวผลของมันโหดร้ายต่อผู้อื่น
ผมจะต้องสร้างความเป็นไปให้สอดคล้องกับความจริงโดยความไม่กลัวได้อย่างไร
ผมเป็นผู้สร้างเงื่อนไขต่างๆขึ้นมาเพื่อตอบสนองความต้องการของตนเอง ผมมีความเป็นมาที่สร้างเงื่อนไขมาโดยตลอด เงื่อนไขที่ทำให้ความเป็นจริงมีระยะห่างมาโดยตลอด
เช่น เมื่อมาอยู่โรงพยาบาลผมไม่ต้องการให้ใครมาเยี่ยมเพราะความกลัวภรรยาไม่พอใจ ความกลัวนี้ผมสร้างขึ้นเป็นเงื่อนไขในการจัดวางความสัมพันธ์ ที่ผมคิดว่าเหมาะสม แต่ที่จริงไม่ใช่ไม่เป็นเช่นนั้น
เราไม่อาจประมาณได้ว่าผู้อื่นจะมีความรู้สึกเช่นใด หากสัมผัสของเราดีมากพอและเปิดมากพอเราอาจพบว่า เขาที่เราประมาณนั้นไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะแม้บางครั้งเขาเป็นคนบอกเองแต่เมื่อเวลาผ่านไปสิ่งที่รู้สึกก็ผันแปรตามไปด้วย
เราไม่ควรบังคับ กะเกณฑ์ กำหนด หรือจัดวาง เราควรจะปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น เพราะมันจะเป็นอยู่เช่นนั้น และไม่เป็นไปตามที่เราปรารถนา
สรรพสิ่งดำรงอยู่ด้วยความเป็นปัจจเจกท่ามกลางสมุหะ ที่ปะทะสังสรรค์กันตลอดเวลา
เพียงรู้จักดำรงอยู่อย่างเข้าใจจะได้ไม่สร้างกรรมใหม่
จบข้อเขียนวันที่ 4 กันยายน 2555 เวลา 16.37 น.

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2555

เราเรียนรู้อะไรบ้าง

บนเวลาที่ผ่านมาและจะสรุปอะไรได้บ้างกับเวลาที่เหลืออยู่อีก 110 วัน

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

ความจริง ความงาม ความดี เป็นเช่นนั้นเอง


เหตุการณ์มากมายในโลกมักถูกจัดให้อยู่ในประเภทต่างๆ ด้วยคำพิพากษาตัดสินจากกรอบข้างในของตน เราไม่ได้รู้รอบทั้งหมดขององค์ประกอบที่ทำให้เป็นไป แต่เราบอกว่าแค่นี้ก็พอแล้ว

ยกตัวอย่าง เหตุการณ์ที่ผ่านมานานแล้ว

27 ธันวาคม 2553 เวลาประมาณ 21.45 น. รถตู้โดยสารประจำทาง วิ่งจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต มุ่งหน้า บีทีเอสจตุจักร มีผู้โดยสารเต็มคันรถ เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุ ช่วงทางด่วนโทลล์เวย์ฝั่ง ขาเข้า บริเวณหน้ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน จู่ ๆ รถเก๋งที่วิ่งมาด้วยความเร็วสูงเกิดพุ่งเข้าชนท้าย ทำให้รถตู้เสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ แรง เหวี่ยงอย่างรุนแรงทำให้ประตูรถตู้เปิดออก และมีผู้โดยสารกระเด็นออกจากรถ ร่วงจากทางด่วนตกลงมาด้านล่าง ซึ่งเป็นถนนวิภาวดี เสียชีวิตทันทีรวม 8 ราย เป็นชาย 5 ศพ หญิง 3 ศพ และบาดเจ็บอีก 7 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิงอีก 3 ราย
หลังจากนั้นมีการตัดสินพิพากษาโดยสังคมอย่างรุนแรง ผมสืบค้นใน google (ข่าว+รถตู้+เด็กอายุ16)พบว่ามีเรื่องนี้ถึง 9,480,000 รายการ(เมื่อวันที 26 ม.ค. 55 เวลา 14:29 น.)ข่าวนี้สร้างแรงสะเทือนไปมากมาย ต่อความจริง ความงาม ความดี การตัดสินจากสังคมรุมเร้า เร่งเราให้เห็นว่า เหตุการณ์นี้(ความจริงที่ถูกสื่อออกมา)เป็นที่ไม่พึงปรารถนาในสังคม ที่มีความงามและความดีเยี่ยงนี้
ความจริงของเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอย่างไรเราไม่อาจรู้ได้ ผู้ประสบด้วยตนเองเห็นเพียงส่วนที่ตัวประสบ เรานำมาปะติดปะต่อ และประกอบขึ้นเป็นความจริงในใจ
ความงาม และความดีของเหตุการณ์นี้จึงไม่อาจสัมผัสได้เพราะความจริงที่ประกอบขึ้นเองนั้นปิดกั้นไม่ให้เห็นความงาม และความดี

อีกเหตุการณ์หนึ่ง
วันนี้( 26 ธ.ค.2554) พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทลุง รับแจ้งเหตุยิงกันตายหลายรายในค่ายกองร้อย ตชด.ที่ 434  หมู่ 15 ต.ควนมะพร้าว ตรวจสอบที่เกิดเหตุบนที่นอนในป้อมรักษาการหน้าค่ายพบศพ ตชด. มีบาดแผลถูกยิงเข้าใต้คางทะลุ นอนกอดอาวุธปืนเอชเคอยู่ บนพื้นพบปลอกกระสุน 1 ปลอก ส่วนด้านหลังค่ายห่างออกไปไม่ไกลเป็นอาคารฝ่ายสืบสวนภายในโรงครัวมีการตั้งวงสุรา พบศพผู้เสียชีวิตถูกยิงด้วยปืนขนาดเดียวกันอีก 6 ศพ เสียชีวิตในโรงครัว 3 ศพ และพงหญ้าหน้าโรงครัว 3 ศพ และส่งโรงพยาบาลบาดเจ็บหนึ่งคน
ความจริงของเหตุการณ์นี้เป็นเช่นไร ผู้ที่รอดเพียงหนึ่งเดียวอาจรู้เพียงส่วนที่ตนสัมผัสเท่านั้น แล้วความงามความดีในตัวเราเริ่มทำงานอีกครั้ง แล้วความสยดสยอง หรือสิ่งอื่นเข้ามาบดบังทำให้ไม่สามารถสัมผัส ความจริง ความงาม ความดีได้

อาจารย์สอนว่าทุกทุกเหตุการณ์มีความจริง ความงาม และความดีประกอบให้เป็น หากเราสัมผัสไม่ได้นั่นหมายความว่าเรายังเข้าไม่ถึงสิ่งนั้น เข้าไม่ถึงเนื่องจากความคิดของเรา ปิดกั้นความรู้สึก และหัวใจของเราออกจากสิ่งนั้นๆ อคติของเรา นำพาเราออกจากความจริง ความงามและความดี เพราะเพียงรับรู้ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
เมื่อความตายเกิดขึ้น จึงเห็นความจริง ความงาม ความดี ของการมีชีวิตอยู่
เมื่่อโทสะเกิดขึ้น จึงเห็นความจริง ความงาม ความดี ของความเมตตากรุณา

เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไป กระแสอารมณ์ร่วมผ่านไป เราก็จะละเลยที่่จะค้นหาต่อไป
เรามักเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยความคิด
หากเราเผชิญกับเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยการสังเกตุ สังเกตุที่ไม่มีความคิด ความรู้สึก เราจะเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง

เมื่อเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ความจริง ความงาม ความดี จึงปรากฎตัวและหากปราศจากความคิด ความรู้สึก เราจะสัมผัส สรรรพสิ่ง ได้อย่างเป็นเนื้อเดียวกันกับ สรรพสิ่ง
ความจริง ความงาม ความดี เป็นเช่นนั้นเอง

จากสองเหตุการณ์นี้ ผมสัมผัสถึงความเมตตากรุณาจากโทสะที่ผู้คนมี โทสะนั้นกระแทกความเมตตากรุณาให้หลั่งรินออกมาจากภายใน ไม่ว่าจะเป็นโทสะของผู้จากไปหรือผู้ดำรงอยู่ ผมสัมผัสถึงการให้อภัยจากคำคาดโทษพิพากษาของสังคม ไม่ว่าจะเป็นตามกฎหมายหรืออารมณ์สังคม ผมสัมผัสถึงการชมเชย ปล่้อยวาง และจุดประกาย จากอารมรณ์ริษยา คับแค้น และสิ้นหวัง ผมสัมผัสถึงคำแนะนำ จากคำตำหนิติเตียนไม่มีทางออก ผมสัมผัสถึงอนาคต จากอดีตที่จบลงแล้ว

ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนไม่รู้จักกันเมื่อสัมผัสกันเพียงชั่ววูบก็ทำให้ชีวิตตกล่วงไป
ไม่มีผู้ใดรู้ว่าคนที่คบกันมานานเมื่ออารมณืชั่ววูบมาสัมผัสก็ทำให้ชีวิตตกล่วงไป
แต่เราได้เรียนรู้ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นแล้ว



ผมยังเชื่อว่าเราสามารถที่จะทำให้ปรากฎซึ่งความเมตตากรุณาโดยไม่จำเป็นต้องเห็นจากโทสะ และความจริง ความงาม ความดี ทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นการให้อภัย การชมเชย การปล่อยวาง และการจุดประกายสร้างสรรค์จะเผยตัวตนได้โดยไม่ต้องพึ่งเหตุการณ์คล้ายข้างต้น
ด้วยการปรากฏเช่นนั้น
ความจริง ความงาม ความดี เป็นเช่นนั้นเอง