ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 3 ( พ.ค. 2522 ) ราคา 15 บาท |
หลับตื่นมีแต่มัน อยู่ใกล้
สุขทุกข์สารพัน มันให้
สบายจิตใจไซร์ เมื่อได้อ่านมัน
(ทิพย์ พัชน์ศรี)
ผมอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็ก ต้องขอบคุณแม่มากๆ ที่อ่านหนังสือให้ผมเห็นทำให้ผมอยากอ่านหนังสือ อ่านนิยาย อ่านนิตยสารรายสัปดาห์ ตามที่แม่อ่าน แม่เป็นผู้เรียนหนังสือจบเพียง ป.4 แต่ส่งให้ลูกเรียนจบสูงกว่าแม่ทุกคนแรกๆ ผมอ่านนิยายตามแม่ อ่านผู้ชนะสิบทิศ อ่านขุนศึกตั้งแต่ยังไม่มีบทจบ แม่อ่านอะไรผมอ่านอันนั้น นิตยสารรายสัปดาห์ผมอ่านบางกอก นิตยสารรายปักษ์ผมอ่านสตรีสาร รายเดือนชาวกรุง(สองอันนี้แม่ไม่ได้ซื้อแต่เจ้านายซื้อเขาอ่านจบแล้วเราจึงได้อ่าน ... แบบว่าเป็นหนังสือล่วงเวลา - เวลาล่วงไปแล้วเราจึงได้อ่าน...)
พอโตมาหน่อยผมเข้าโรงเรียนนอกจากอ่านตามแม่แล้วผมยังอ่านตามเพื่อน อ่านการ์ตูน อ่านเรื่องสั้น อ่านเท่าที่หายืมได้ ช่วงเรียนมัธยมผม อ่านนิตยสารการบิน และช่างอากาศ (อ่านฉบับที่ล่วงเวลาแล้วเหมือนเดิม เพราะอย่างช่างอากาศนี้ ถ้าเก่ามากเล่มหนึ่งไปซื้อที่ กรมช่างอากาศที่สะพานแดง จะตกเล่มละ 25-50 สตางค์ พิมพ์ไม่ผิดครับ เล่มละ 25-50 สตางค์) อ่านนิยายกำลังภายใน (อันนี้เช่าอ่านต้องมีวีระกรรม -หรือกรรม-คือเช่ามาเป็นวันเล่มละ25 สตางค์ต่อวัน และเป็นชุด 20-30 เล่มต้องอ่านให้หมดในวันเดียว บางครั้งอ่านจนถึงเช้า 555...) อ่านสองกุมารสยาม ขรรค์ชัย บุญปาน สุจิตต์ วงษ์เทศ ก็เป็นช่วงใกล้เรียนจบประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและจะได้ทำงานแล้ว
นิราศและกลอนลูกทุ่ง ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 (มิ.ย. 2517 ) ราคา 10 บาท กูเป็นนิสิตนักศึกษา ฉบับพิมพ์ครั้งแรก (ม.ค. 2512) ราคา 5 บาท |
ตอนอยู่ชั้น ม.ศ.4 ม.ศ. 5 ทำหนังสือของโรงเรียนโยธินบูรณะกับเพื่อนๆ ชื่อ "กงจักร" (ตอนนี้เพื่อนซี้ที่เขียนและทำด้วยกัน สองคนลาโลกไปหมดแล้ว) ริจะเป็นนักเขียนกับเขาบ้าง แต่งกาพย์ ฉันท์ โคลง กลอน โต้วาที สารพัด
พอยุคที่ผมเริ่มทำงานเป็นช่วงประชาธิปไดยเบ่งบาน ตอนนี้นอกจากอ่านตามเพื่อนแล้วยังอ่านตามสังคมอีกด้วย อ่านอ่านหนังสือแนวเพื่อชีวิตหลายแบบ
หนังสือชุดนี้มี 8 เล่มแล้วปิดตัวลง เป็นนิตยสารรายเดือน เริ่มพิมพ์ มี.ค. 18 ฉบับสุดท้าย ต.ค. 18 ราคา เล่มละ 10 บาท |
เล่มนี้เป็นเรื่องแปล ฉบับพิมพ์ครั้งแรก (พ.ค. 21) ราคา 18 บาท |
คนขายฝัน พิมพ์ครั้งแรก เม.ย. 23 ราคา 25 บาท วิรบุรุษฯ พิมพ์ปีไหนไม่บอก ราคา 25 บาทเหมือนกัน |
หลังยุคขวาพิฆาตซ้ายแล้วเป็นยุคสังคมพัฒนาผมอ่านหนังสือแนวพัฒนาสังคมหลายแบบอ่านหนังสือของนักพัฒนาเอกชน(NGO) หลายค่าย เริ่มสนใจศาสนา จิตวิทยาและปรัชญา อ่านมันเข้าไป มีอยู่ช่วงหนึ่งสนใจพุทธธรรมก็อ่านและสะสมไว้เยอะจนถ้าเอามาตั้งเรียงกันน่าจะสูงท่วมหัวสองสามเท่า แต่ยังไม่บรรลุธรรม (555...)
พัฒนาชนบทไทยฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ค. 39 ราคา 150 บาท ชุดนี้มี 3 เล่ม เล่มนี้เป็นเล่มที่ 2 แห่งความเข้าใจชีวิตฯ พิมพ์ครั้งแรก มิ.ย. 39 ราคา 178 บาท ตอนนี้ผมมี 2 เล่ม อีกเล่มพิมพ์ครั้งที่ 5 พ.ค. 50 |
ต่อจากนั้นเข้ายุคโลกาภิวัตน์อ่านหนังสือ แนวเมกาเทรน์ เรื่องของโลกยุคใหม่ องค์กรยุคใหม่ ในช่วงนี้เองได้ทำงานด้านส่งเสริมอาชีพเลยอ่านหนังสือแนวส่งเสริมอาชีพอีก เป็นการอ่านตามความจำเป็นในการทำงาน ความจำเป็นในการทำงานนี้เองทำให้อ่านหนังสือแนวกิจกรรมกลุ่มพัฒนาคุณภาพงาน 5ส. คิวซี ไคเซ็น Six Sigma TQM CWQC VE หนังสือที่อ่านควบคู่ไปคือแนวเกี่ยวกับความคิด และความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ นอกจากแนวนี้แล้วยังมีแนวยุทธศาสตร์ แผนกลยุทธ์ การวางแผน การประเมินโครงการ ต่อมาริอยากเป็นนักวิจัย อ่านหนังสือแนวผลงานการวิจัย สถิติประยุกต์ ตอนนี้หนังสือแนวจิตวิทยา ศาสนา วัฒนธรรมและปรัชา ก็ยังอ่านอยู่นอกจากจะอยากเป็นนักวิจัยแล้วความอยากของคนไม่สิ้นสุด อยากเป็นวิทยากรอีก เอาต้องหาความรู้ อ่านศาสตร์การสอน จิตวิทยาการเป็นวิทยากร ศาสตร์การพูด ศิลปะการนำเสนอ รู้สึกมั่วไปหมด
ช่วงสุดท้ายของการทำงานรับจ้างเขานั้น ผมได้ทำหน้าที่เป็นวิทยากรด้านการจัดการความรู้ ตอนนี้เป็นช่วงที่ลุยอ่านงานแบบว่าการทำกิจกรรมการจัดการความรู้ การทำกระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ จิตวิทยา ศาสนา ปรัชญา แบบว่าต้องเป็นสหศาสตร์เลย
หลังจากพ้นการงานแล้ว อายุมากแล้ว ไม่มีงานทำแล้ว มาดูหนังสือที่สะสมไว้มันทำไมมากอย่างนี้ คิดดูแล้วนอกจากขอบคุณแม่แล้วต้องขอบคุณบรรดาอาจารย์ทั้งจากโรงเรียน วิทยาลัย มหาลัย และอาจารย์ในมหาวิทยาลัยชีวิตที่ไม่มีสถาบันแต่มีความรู้มากมาย อาจารย้ทั้งหลายได้ประสิทธิประสาทวิชาความรู้ สร้างแนวคิดและวิธีหาคำตอบ ขอบคุณเจ้านายและเพื่อนร่วมงานที่ให้งานและให้ความท้าทายที่จะต้องแสวงหาคำตอบทำให้อ่านมาก ขอบคุณสังคมประเทศนี้ที่เป็นอย่างนี้ทำให้เราต้องแสวงหาที่พึ่งอันประเสริฐคือตนเอง
เมื่อตอนที่ผมย้ายบ้านอีกครั้งหลังจบหน้าที่การงานแล้ว ผมขนหนังสือที่สะสมไว้มายังบ้านใหม่ บ้านไม่ได้ออกแบบเป็นห้องสมุด หนังสือที่สะสมไว้หาที่อยู่ได้บ้างไม่ได้บ้าง ตอนย้ายเอาหนังสือไปห้องสมุดประชาชน เขาไม่รับเขาบอกว่ามีระเบียบอยู่ เข้าใจว่าคงจัดการได้ยากถ้ารับบริจาคไปเรื่อย -อันนี้เข้าใจเอาเอง- เขาบอกให้ไปบริจาคให้เรือนจำ อันนี้ยุ่งยากกับเราเลยทำง่ายๆ พาหนังสือที่ขนมาแล้วไปยังร้านรับซื้อของเก่า เขาให้กิโล ละ 2.50 บาท ย้ำกิโลละ 2.50 บาท ขนไป 97 กิโลกรัม ได้มาสองร้อยก่วาบาท
กลับมาบ้านดูกลอนที่เคยแต่งไว้ (ข้างต้น) โอ้พระเจ้า เราขายมิตรแท้ไปได้นะเนี่ย โลละ 2.50 บาท
ที่เก็บก็ไม่มี อ่านก็ไม่ได้อ่านซ้ำอีก มีบางเล่มที่เก็บไว้อ้างอิงก็เป็นจำนวนน้อย บางเล่มก็เป็น E book ไปแล้ว หาที่อยู่ให้เพื่อนแท้ของเราดีกว่า
บรรยายมายืดยาวเพื่อที่จะเข้าเรื่องคือ จะทำโครงการแจกหนังสือที่มีจนกว่าจะหมด หากมีคนอยากได้และเป็นผู้สะสม เขาจะได้นำเพื่อนของผมไปทำประโยชน์ต่อไป
จะเริ่มแจกในเดือนเมษายน 2556 เป็นต้นไป
หากใครมีคำแนะนำดีๆ โปรดแนะนำด้วย
โครงการแจกเพื่อนแท้ เริ่มในเดือนเมษายน 2556
เล่มที่ 1 - 2- 3-4-6 และ 21 แจกไปแล้ว
เล่มที่รอเจ้าของ
เล่มที่ 5 รายละเอียด
เล่มที่ 7-8 รายละเอียด สองเล่มนี้เข้าข่ายหนังสือสะสมหายาก
เล่มที่ 9-26 รายละเอียด ในนี้มีหนังสือหลายประเภทครับ
เล่มที่ 27-28 รายละเอียด สองเล่มนี้เป็นเรื่อง Six Sigma ครับ